
โดยธุรกิจขายตรง คือ
1.เป็นธุรกิจ ที่มีสินค้าที่ดี ผ่านการ จดแจ้งกับหน่วยงานรัฐ อย่างสำนักงานคณะกรรมการอาหาร และยา หรือ อย. สินค้าต้องมีมาตรฐานมีคุณภาพ เป็นสินค้าที่ดี
2.จะต้องมีการจดยื่นขออนุญาตในเรื่องของแผนธุรกิจ โดยเฉพาะในเรื่องของ แผนจ่าย กับทางสคบ. โดยที่แผนการจ่ายนั้นๆ จะต้องเป็นแผนการจ่ายที่บริษัท จ่ายได้จริงตามที่ระบุ ไม่มากจนเกินไป เนื่องจากหากมากเกินไป บริษัทก็จะไม่สามารถอยู่ได้ยาว ไม่มีความมั่นคง ซึ่งหากแผนจ่ายไม่สอดคล้อง และไม่อยู่ในกรอบกฎหมาย พ.ร.บ.ขายตรงและตลาดแบบตรงปี พ.ศ. 2545 สคบ.ก็จะไม่อนุญาตแผนนั้นเป็นอันขาด
3.ตัวองค์กร หรือ บริษัทนั้นๆ จะต้อง ผ่านการอนุญาตจากสคบ. เพื่อประกอบ ธุรกิจขายตรงได้ ไม่ใช่เพียงจดทะเบียนเปิดบริษัทกับกรมพัฒนาธุรกิจ กระทรวงพาณิชย์เท่านั้น ซึ่งในส่วนของการจดทะเบียน เรื่องของทุนการจดทะเบียนก็นับ เป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อเป็นการรับประกันความมั่นคงของบริษัท
“ทั้ง 3 ข้อ คือคุณสมบัติของบริษัทขายตรงที่ดี ซึ่งได้รับการอนุญาตจากหน่วย งานรัฐครบถ้วน ซึ่งหากผ่านกฎเกณฑ์ที่กล่าวมา บริษัทนั้นๆ ถือว่าสามารถเปิดธุรกิจ ขายตรงได้ตามกฎหมายขายตรงและตลาดแบบตรง” นิโรธ เผย
สำหรับธุรกิจแชร์ลูกโซ่ เป็นธุรกิจที่ ไม่เน้นการขายสินค้า ไม่เน้นเรื่องของคุณภาพสินค้า เพียงแต่ใช้สินค้าเป็นตัวกลางในการล่อหลอกให้คนมาลงทุนเท่านั้น ซึ่งการระดมทุนเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย โดยที่ ดีเอสไอ กระทรวงการคลัง และตำรวจ จะ ต้องเข้ามาควบคุมดูแลโดย “นิโรธ เจริญประกอบ” อดีตเลขาธิการสคบ.ยังเผยต่อว่า จากอดีตถึงปัจจุบัน ผู้คนมักกล่าวหาว่าธุรกิจขายตรง และแชร์ลูกโซ่เป็นธุรกิจที่คล้ายกัน ทั้งที่ 2 สิ่งนี้ต่างกันโดยสิ้นเชิง ซึ่งไม่ควรนำมารวมกัน จนสร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นกับธุรกิจขายตรง
“จากที่กล่าวมา สื่อบางสำนักมักนำธุรกิจขายตรงกับแชร์ลูกโซ่มาเปรียบเทียบกัน ทั้งที่มีความแตกต่างกัน โดยคนที่กล่าวหา โดยเฉพาะสื่อซึ่งเป็นกลุ่มคนที่นำเสนอเรื่องราวต่างๆเพื่อให้คนเชื่อ และถือเป็นอาชีพที่มีอิทธิพลในการรับข้อมูลข่าวสารของประชาชน ไม่ควรที่จะเอ่ยถึงบริษัทใด หรือใครในทางที่ไม่ดี หากสิ่งนั้นยังไม่มีการพิสูจน์ว่าผิดหรือไม่ผิดอย่างไร” อดีตเลขาธิการ สคบ. กล่าว
นายนิโรธยังกล่าวอีกว่า การเอ่ยถึงชื่อบริษัทใดบริษัทหนึ่งว่าเป็นธุรกิจแอบ แฝง ทั้งยังไม่มีการพิสูจน์ถึงความจริง นับเป็นเรื่องที่เสียหายต่อธุรกิจขายตรงเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากถึงแม้ปัจจุบันธุรกิจขาย ตรงจะได้รับการยกระดับไปมากก็ตาม แต่เมื่อ ไหร่ที่ใคร โดยเฉพาะสื่อมีการเอ่ยกล่าวหา บริษัทนั้น บริษัทนี้ ว่าเป็นธุรกิจแอบแฝงทั้งที่ไม่มีหลักฐาน หรือยังไม่มีการพิสูจน์ความจริง สิ่งไม่ดีอันน้อยนิดนี้ ก็นับเป็นตัวสร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นกับภาพรวมของธุรกิจขายตรงอย่างมหาศาล
“สื่อ หรือใครก็ตามที่มีการเอ่ยถึงใคร บริษัทใดว่าไม่ดี ควรที่จะมีการศึกษาข้อมูล เรียนรู้ธุรกิจ และสืบเสาะหาความจริงออก มาเป็นหลักฐานเสียก่อน ไม่ใช่เพียงการกล่าวหาลอยๆ ถึงบริษัทนั้น บริษัทนี้ว่าผิด เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นสร้างความเสียหายในภาพรวมของธุรกิจอย่างมหันต์ จากเพียงเสียงของผู้ที่ไม่รู้จริง ซึ่งผู้ที่พูดหรือเอ่ย ควร ที่จะรับผิดชอบกับสิ่งที่ทำลงไป อีกทั้งผู้ที่ถูกกล่าวหาควรที่จะฟ้องร้องตามสิทธิของ ตนเอง เพื่อเรียกศักดิ์ศรีของบริษัทกลับคืนมา” นิโรธ กล่าวติง
อย่างไรก็ดี ภาครัฐต้องมีการสนับ สนุนธุรกิจขายตรงให้เป็นธุรกิจสร้างชาติ ไม่ต่างจากธุรกิจอื่นๆ ตัดคำว่าแชร์ลูกโซ่ออกไป และไม่ควรนำมาโยงเข้ากับธุรกิจขายตรงซึ่งมีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งควรตั้งกรมขายตรงขึ้นมา เพื่อดูแล กำกับธุรกิจขายตรงได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะธุรกิจขายตรงคือธุรกิจของมวลชน ที่สร้างฐานะสร้างอาชีพให้กับประชาชนมาแล้วมากมาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น